บทที่ 10 ได้สติ

จิ่งหลัวคุนสั่งให้คนพาเชามี่เข้าไปในส่วนโถงรับรองและให้นำยาดมกับน้ำแกงสมุนไพรให้นางดื่ม สักพักหญิงสาวก็ได้สติ

“โอ้ ท่านแม่ทัพ อนุผู้น้อยหาได้อยากแสดงความอ่อนแอให้ท่านเคืองใจ แต่หลายวันที่ท่านไม่อยู่จวนเกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน อีกอย่างสิ่งที่ข้าอยากให้ท่าน

ยื่นมือเข้าไปช่วยไท่ฮูหยิน คือนายหญิงใหญ่ต้มน้ำแกงที่น่ากลัวให้ไท่ฮูหยินดื่ม!”

“เจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด”

“ท่านแม่ทัพไปราชการจึงไม่ล่วงรู้ว่านายหญิงใหญ่กำลังคิดวางแผนร้ายโดยเฉพาะคิดหาทางกำจัดคนรับใช้ในจวนเก่าแก่ออกไปทีละคน แล้วหาคนของตนเข้ามาแทน รวมถึงการเอ่อ...”

เชามี่กำลังจะกล่าวสิ่งที่น่ากลัวและเป็นความลับ นางจึงกระอึกกระอัก พลางมองคนสนิทของชายหนุ่มและสาวใช้นางอื่น

“ออกไปให้หมด!”

เมื่อภายในโถงรับรองเหลือเพียงสองคน เชามี่จึงกล่าวต่อ

“น้ำแกงเก้าชั้นยอดฟ้านั้น อนุผู้น้อยเคยได้ยินมาว่าเป็นตำรับชั้นสูง ดื่มกินเฉพาะเจ้านายในวังหลัง อีกอย่างตำรับน้ำแกง ให้ดีก็น่ายกย่อง ทว่ามันกลับมีส่วนผสมที่อาจให้โทษถึงแก่ชีวิตหากดื่มในปริมาณมากจนเกินไป”

“แล้วเกี่ยวสิ่งใดกับฮูหยิน”

เชามี่ถอนหายใจแรง ๆ ออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนบีบน้ำตาออกมาราวกับสั่งได้ “ย่อมต้องเกี่ยวพันแน่นอน นายหญิงใหญ่ต้มน้ำแกงนี้และนางต้องการใช้เป็นยาบำรุงแก่ไท่ฮูหยิน แต่ด้วยความไม่รู้หรือตื้นเขินอาจส่งผลร้ายให้โรคที่อยู่ภายในร่างกายไท่ฮูหยินกำเริบได้!”

ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย เชามี่อยู่เรือนหลังนี้มาเกือบห้าปี นางย่อมทราบถึงอาการป่วยของซ่งหยูชุน และการแสดงออกว่าห่วงใยอีกฝ่ายนับว่าสมควร ทว่าถึงขั้นที่นางสามารถจำแนกส่วนผสมน้ำแกงของเนี่ยหยวนซูได้ มิใช่เรื่องที่เขาจะมองข้าม!

“เอาละ เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนเอง หากฮูหยินจงใจทำให้แม่เล็กป่วย นางย่อมต้องมีความผิดตามกฎจวนหลังนี้”

เอ่ยจบชายหนุ่มก็เตรียมไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน

“เอ่อ ท่านแม่ทัพ ให้อนุผู้น้อยติดตามไปด้วยได้หรือไม่”

“เมื่อครู่ เจ้ายังดูเหมือนคนพักผ่อนน้อยและไร้เรี่ยวแรงอยู่มิใช่หรือ”

“เป็นเช่นนั้นจริง แต่ความกตัญญูต่อไท่ฮูหยินย่อมสำคัญกว่าชีวิตข้า ที่เทียบแม้แต่ฝุ่นผงยังไม่ได้” เชามี่กล่าวจบก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น หากมิวายเซเสียหลัก ก่อนโผเข้าไปซบอกกว้าง ๆ พร้อมจับท่อนแขนกำยำของชายหนุ่มเพื่อใช้เป็นหลักยึด

“อนุผู้น้อยภักดีต่อสกุลจิ่งเสมอและปรารถนารับใช้ท่านแม่ทัพไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ” น้ำเสียงนางออดอ้อน เนื้อตัวนุ่มนิ่มก็เบียดชิดกายแกร่งอย่างจงใจ

ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าสวนหินทางทิศเหนือของจวนจิ่ง แม้ยังไม่เข้ามาถึงด้านใน แต่เสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะดังมาถึงด้านนอก

เมื่อสืบเท้าเข้ามาอีกนิด จิ่งหลัวคุนก็คำรามเสียงฮึ่ม ๆ ยามนี้ จวนจิ่งกลายเป็นโรงละครในตรอกชั้นต่ำแล้วหรือไร

สตรีผู้นั้นกำลังร้องรำทำเพลง และยังมีสาวใช้กับแม่นมของนาง โดยคนหนึ่งเป่าขลุ่ย อีกคนตีกลองหนังวัวสองหน้า อันเป็นเครื่องดนตรีของชาวเผ่าทะเลทราย เสียงร้องเพลงเนี่ยหยวยซู แม้เพราะพริ้งแต่เนื้อหาเพลงฟังอย่างไรก็แจ้งชัดว่านางจงใจกระทบกระเทียบถึงเขา

แม้ตัวข้าเป็นหญิงม่าย ยังไม่น่าอับอาย เท่ากับถูกสามีชั่วร้ายข่มเหง

ผู้ชายขี้เหล้าแสนเผด็จการ วัน ๆ เอาแต่อวดเบ่งคิดว่า ตัวเองเก่งทั้งที่โง่ดั่งลา

สตรีเช่นข้าเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ยืนด้วยลำแข้งงาม ๆ

ผู้ใดอย่าได้มาหยาม มิฉะนั้น แม่จะตัดหางปล่อยวัด ให้ร้องเอ๋ง ๆ

สวรรค์โปรดเมตตา ให้หญิงม่ายคนงาม อย่าได้มีลูกผัวกวนใจ

ชาตินี้ ข้าเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ ไม่มีสามีก็ลืมตาอ้าปากได้

ด้วยหนึ่งสมอง และสองมือ สองบาทา...


และที่ทำให้เขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหนักกว่านั้น คือจิ่งป๋อที่ยามนี้สวมชุดงิ้วกับเครื่องประดับหัวร่ายรำเอวอ่อน และข้างกันนั้นที่หัวเราะไม่หยุด เดี๋ยวลุกจากม้านั่ง เดี๋ยวตบมือสลับการโบกไม้โบกมือก็คือไท่ฮูหยิน

ให้ตายเถิด เนี่ยหยวนซูกำลังทำสิ่งใดกันแน่ หรือนางมีเวทมนตร์ชั่วร้าย ถึงทำให้แม่เล็กกับน้องชายของเขาเสียสติถึงเพียงนี้

เมื่อชายหนุ่มสืบเท้าเข้ามาด้านใน แทนที่การร่ายร่ำจะหยุดลงแต่กลับเป็นว่าจิ่งป๋อเข้ามาควงแขนเขาและทั้งลากทั้งจูงให้ไปร่วมสนุกด้วยกัน

“พี่ใหญ่ วันนี้สำราญใจยิ่งนัก พี่สะใภ้เป็นสตรีมากความสามารถ ฟังดูเถิด เพลงที่นางร้องชวนให้ขบขันและมีความสุข ข้าจะนำไปให้เด็ก ๆ แสดงที่หอลำนำรัก”

ขณะที่ถูกลากไปร่วมวง จมูกโด่ง ๆ ของจิ่งหลัวคุนก็ขยุกขยิก ก่อนที่เขาจะจับตัวจิ่งป๋อให้ยืนนิ่ง ๆ แล้วสูดกลิ่นที่เนื้อตัวน้องชาย

กลิ่นดังกล่าวคุ้นเคย ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาคืนแรกที่ร่วมเตียงกับเนี่ยหยวนซู

โดยเริ่มต้นนางทั้งตบ ทั้งข่วนเขาจนเจ็บจี๊ดตามใบหน้า ลำคอ เมื่อรำคาญจึงคว้าตัวนางมา ด้วยกลิ่นน้ำมันหอมบนเนื้อตัวนางทำให้เขาคลั่ง จนควบคุมตัวไม่ได้ จึงซุกไซ้ตามจุดต่าง ๆ ที่ไวต่อความรู้สึกนาง เขาดูดดุน จูบหนักหน่วง สองมือนวดเฟ้นและเคล้นคลึงถันคู่งาม เมื่ออารมณพลุ่งพล่าน จึงอยากแทรกลิ้นเข้าไปในริมฝีปากอวบอิ่ม แต่เขากลับถูกนางกัดและไม่นานก็สลบไปอีกหน

“พี่ใหญ่ ถึงข้าจะงามล่มเมืองแต่ก็เป็นบุรุษ อีกอย่างเราคือสายเลือดเดียวกัน หักห้ามใจเสียเถิดท่านพี่” จิ่งป๋อกล่าวแล้วหัวเราะร่วน

“น้องสามระวังปากเจ้าบ้าง ถูกอาซูกลั่นแกล้งเช่นนี้ ยังไม่รู้ตัวอีก” จิ่งหลัวคุนเอ่ยจบก็ผลักร่างน้องชายให้ไปทางอื่น ก่อนจับจ้องไปยังหญิงงามที่ดูเหมือนว่า นางกำลังสนุกในงานเลี้ยงรื่นเริง

จิ่งหลัวคุนที่ตอนแรกเกือบระงับโทสะได้แล้ว หากต้องระเบิดอารมณ์กว่าเดิมเมื่อเนี่ยหยวนซูยังบังอาจร้องเพลงต่อ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป